วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คุณรู้จัก “ตูวาลู” หรือไม่…มันกำลังจะหายไปจากแผนที่โลก







Tuvalu คุณรู้จัก “ตูวาลู” หรือไม่…มันกำลังจะหายไปจากแผนที่โลก
ตูวาลู (Tuvalu) เป็นประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกถ้าเล็งจากแผนที่โลกจะเห็นว่า…มันอยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศออสเตรเลียกับมลรัฐฮาวายถ้าใช้ google earth ซูมเข้ามามองมุมสูงแบบใกล้ๆ จะเห็นว่า…เกาะทั้ง ๘ เกาะของตูวาลูมีลักษณะเป็นวงแหวนหรือคล้ายพระจันทร์เสี้ยวที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกเกาะก่อเกิดขึ้นมาจากหินปะการัง หรือ Coral Atoll
ลักษณะเด่นของเกาะที่เกิดจากหินปะการัง คือเป็นเกาะแคบโค้งขนาดเล็กโผล่พ้นน้ำทะเลเพียงเล็กน้อยประเทศตูวาลูจึงมีพื้นที่เพียง ๒๖ ตารางกิโลเมตรและจุดสูงที่สุดอยู่เหนือระดับน้ำทะเลแค่ ๔.๕ เมตรเท่านั้น !!!
ปัจจัยทางกายภาพดังกล่าวส่งผลให้ที่นี่ติดอันดับต้นๆ ของดินแดนที่มีระดับต่ำที่สุดในโลกและสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการจมทะเลในยุคสมัยที่ผู้ร้ายชื่อ “โลกร้อน” กำลังแผลงฤทธิ์
ย้อนกลับไปเมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๐อดีตนายกรัฐมนตรีของตูวาลู Bikenibeu Paeniu ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมร่างอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งจัดขึ้นที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่นเขาถ่ายทอดประสบการณ์เลวร้ายของชาวตูวาลูในการเผชิญหน้ากับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ลมกรรโชก พายุไซโคลนรุนแรงอุทกภัย และการกัดเซาะชายฝั่งให้นานาประเทศรับรู้
Paeniu อธิบายว่า ประชาชนกว่า ๑๒,๐๐๐ คนของเขาได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนในระดับรุนแรงจนไม่สามารถจะทนทานได้อีกต่อไปแล้วพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนเสียหายเกือบทั้งหมดสุขภาพและความเป็นอยู่ของชาวตูวาลูจึงพลอยย่ำแย่ลงไปด้วย
เมื่อบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องโลกร้อนคาดการณ์ว่า…ประเทศตูวาลูจะโดนน้ำทะเลกลืนหายไปในอีก ๕๐ ปีข้างหน้าผู้นำตูวาลูไม่อาจนอนใจได้ว่า คนทั่วโลกจะสามารถช่วยกันหยุดยั้งการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกได้ทันเวลาจึงร้องขอความอนุเคราะห์ไปยังประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ให้ช่วยรับชาวตูวาลูเข้าประเทศ หากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นจนเข้าขั้นวิกฤตในขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียปิดประตูใส่หน้าชาวเกาะกลางทะเลด้วยการปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือรัฐบาลนิวซีแลนด์กลับยินดีต้อนรับชาวตูวาลูด้วยการจัดตั้งโครงการผู้อพยพขึ้น ภายใต้ชื่อ “Pacific Access Category” ในปี ๔๔
ทั้งนี้ รายงานภัยพิบัติโลกประจำปี ๔๔ ของสภากาชาดสากล ระบุว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติเบียดแซงภัยจากการสงครามขึ้นมาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้คนต้องตัดสินใจทิ้งบ้านเพื่อย้ายไปอยู่ในบริเวณที่ยังไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กันยายน ๔๕ ผู้นำตูวาลูคนใหม่ Tomasi Puapua ประกาศก้องในเวทีขององค์การสหประชาชาติ“การให้ความช่วยเหลือชาวตูวาลูในฐานะผู้ลี้ภัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental refugee หรือ Climate refugee)ไม่ใช่ทางออกเพื่อการแก้ปัญหาในระยะยาวพวกเราต้องการให้แผ่นดินและความเป็นชาติของตูวาลูคงอยู่ต่อไปไม่ใช่จมทะเลเพราะผลพวงจากความโลภและการบริโภคทรัพยากรแบบตะกละตะกรามของเหล่าประเทศอุตสาหกรรมเพื่อที่เด็กๆ ของเราจะได้เติบโตขึ้นมาในวิถีทางเดียวกับพวกเราบนแผ่นดินของตนเองและท่ามกลางวัฒนธรรมของตนเอง”
แต่เจตนารมณ์ของ Puapua ยังเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมเพราะถึงขณะนี้ พลเมืองของเขาทยอยเดินทางออกประเทศไปแล้วมากกว่า ๓,๐๐๐ คนชาวตูวาลูจึงเป็น “ผู้ลี้ภัยทางสิ่งแวดล้อม” กลุ่มแรกๆ ของโลกที่อพยพจากบ้านเกิดแบบไม่หวนกลับโดยมีระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปีเป็นปัจจัยบีบบังคับ
ที่น่าเห็นใจกว่าการไม่มีแผ่นดินอยู่หรือไม่มีชาติเป็นของตนเอง ก็คือผลของการวิจัยที่สรุปออกมาว่า…ชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นกลุ่มคนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ต้นตอของสภาวะโลกร้อน) น้อยที่สุดในโลกคิดเป็น ๐.๐๖ เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดพวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างผู้ร้ายที่ชื่อ “โลกร้อน” เพียงเศษเสี้ยวแต่กลับต้องมารับผลกรรมไปเต็มๆขณะที่ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกายังสำราญใจกับการใช้พลังงานโดยไม่สนใจที่จะควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแม้แต่น้อย
คุณเเปิดไฟทิ้งไว้คุณเสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยไม่ได้เปิดใช้งานคุณขับรถส่วนตัวโดยไม่สนใจการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนคุณเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นประจำคุณหิ้วถุงพลาสติกใบใหม่เข้าบ้านทุกวันคุณทิ้งทุกอย่างลงถังขยะ แทนที่จะแยกขวดพลาสติก แก้ว กระดาษขายให้คนรับซื้อของเก่า
หากคุณมีพฤติกรรมที่ว่ามาแม้เพียง ๑ ข้อ ก็ยอมรับความจริงเถอะว่า…คุณเองมีส่วนร่วมในการสร้าง “ผู้ร้าย” นายนี้ขึ้นมาเหมือนกันพึงระลึกไว้ว่ากรุงเทพฯ อยู่ในกลุ่มเสี่ยงด้วย เช่นเดียวกับเนเธอร์แลนด์ จาการ์ตา บอมเบย์ มะนิลา และเวนิสเพียงแต่เราโชคดีกว่าประเทศตูวาลูอยู่นิดหน่อย ตรงที่ท้องทะเลยังกลืนกินมาไม่ถึงแผ่นดินบ้านเรา
กระนั้นก็ไม่ควรเย็นใจ เพราะการใช้ชีวิตที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากๆย่อมเพิ่มพลังให้ผู้ร้าย “โลกร้อน” แผลงฤทธิ์ได้มากและเร็วขึ้น…หรือคุณอยากตามรอยเส้นทางที่ประเทศตูวาลูกำลังจะเดินนำไป…

ที่มา:สยามรัฐสัปดาห์





วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องราวของ รถเมล์ ในประเทศไทย ใครเคยเจอบ้าง?

ปอ. 10 (พระประแดง-รังสิต) รถเมล์สายที่ "หยิ่ง" ที่สุดในประเทศไทย คาดว่าคนขับทั้งหลายคงเป็นคนรวยแอบมาขับรถเล่นแก้เซ็งไปวันๆ ไม่ง้อผู้โดยสาร ยิ่งรถตัวเองโล่งเท่าไรยิ่งชอบ ไม่จอดรับผู้โดยสาร ต่อให้โบกจนมือหัก
และมีวิธีป้องกันผู้โดยสารจะขึ้น โดยการไปจอดป้ายไกลๆ เพื่อให้ผู้โดยสารลง แล้วซิ่งทันที ต่อให้คนที่จะขึ้นวิ่งไปถึงประตูก็แล้วเหอะ แถมเป็นรถหายาก นานๆ มาสักคันนึง ถ้าพลาดแล้วละก็ ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินรอคันต่อไปได้เลย

สาย 8 (แยกคลองตลาด-แฮปปี้แลนด์) รถเมล์สายที่ซิ่งเร็วที่สุดในประเทศไทย คาดว่าคนขับส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักแข่งรถมือสมัครเล่นที่ตกงาน หรือสอบตกจากการเทิร์นโปร เลยหันเหชีวิตมาขับรถเมล์แทน แต่มองหน้าแล้วนึกว่าเพิ่งหนีออกมาจากคุก
ขอแนะนำสำหรับผู้โดยสารหน้าใหม่ว่าอย่านั่งเบาะหน้า (ยาวๆ) เด็ดขาด หัวคุณอาจโขกหรือพุ่งชนกระจกหน้ารถได้ พึงจับราวให้มั่น ก้าวขึ้น-ลงให้ไว เวลาคนโบกให้จอด มันไม่ค่อยจอดตรงที่คนยืนคอย มันจะวิ่งเลยไปให้คนวิ่งตาม พอคนที่วิ่งเร็วที่สุดตามไปถึงแล้วก้าวขาจะขึ้นไป มันจะกระตุกรถทีนึง บังเอิญว่าคนโดยสารกระโดดขึ้นไปได้ มันจะกระชากรถอีกทีให้หน้าคะมำไปข้างหน้า คนขับมันจะหันมามองอย่างสะใจ แล้วกระตุกรถไปเรื่อยๆ ให้คนโดยสารคนต่อไปรู้รสชาติอย่างทั่วถึง.....
ทีนี้อีตอนขาลง ผู้โดยสารกดกริ่งครั้งแรก คนขับยังวิ่งตะบึงอย่างเมามัน ผู้โดยสารกดกริ่งอีกจะตะคอกว่า "กดครั้งเดียว...รู้แล้ว..เดี๋ยว(เซ็นเซอร์) ไม่จอดซะนี่!" แล้วก็เบรคอย่างแรง ผู้โดยสารทั้งคันต่างพากันหาหลักจับยึดบ้าง ที่จับไม่ทันก็หน้าคะมำ คว่ำเค้เก้ รถยังไม่จอดสนิทดี กระเป๋า (ซึ่งหน้าเหี้ยมพอกัน) จะบอก "ลงเร็วๆ .. ลงเร็วๆ" ผู้โดยสารคนต่อไปเพิ่งก้าวขาซ้ายลงไป คนขับมันจะกระชากรถไปเรื่อยๆ ใครลงทันก็โชคดีไป ใครไม่ทันก็หน้าจ๋อย ยอมรับสภาพไปลงป้ายหน้าเอา

ปอ. 6 (พระประแดง-ปากเกร็ด) รถเมล์สายที่วิ่งยาวที่สุด เริ่มต้นสายจากจังหวัดสมุทรปราการ พาเที่ยวชมรอบเมืองกรุงเทพฯ อาทิ พระปรางค์วัดอรุณฯ สะพานพุทธฯ วัดโพธิ์ ท่าเตียน ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ สนามหลวง วัดพระแก้ว ฯลฯ ไปจนสุดสายที่จังหวัดนนทบุรี ด้วยแพ็คเกจราคาสุดประหยัด (สมุทรปราการ-กรุงเทพฯ-นนทบุรี) เพียง 18 บาท ตลอดการเดินทาง
(กรุณานำอาหารมาเอง) เหมาะกับการพาคนแก่และเด็กเดินทางเล่น เพราะจำกัดความเร็วเพียง 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปลอดภัยแน่ๆ สนใจติดต่อ ขสมก. เริ่มทัวร์ได้ 5.30 ถึง 21.00 น.
ปล. เนื่องจากใช้แอร์ระบบ Hottest First ป้องกันผู้โดยสารหนาวจนแข็งตาย ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อหนาวมาแต่ประการใด

ปอ. 4 เป็นรถที่แน่นสุดในประเทศไทยแล้วมั้ง ทุกวันเราต้องพบนักห้อยโหนกายกรรมออกมาจากตัวรถจนหวาดเสียวว่าจะเกิดอันตรายกับเขาเหล่านั้นหรือเปล่า กระเป๋ารถเมล์ทุกคนได้รับการอบรมให้พูดเหมือนกันคือ "ขึ้นบนมาหน่อยสิคะ" "เดินหน้าชิดในหน่อย" "คนหน้าคนหลังช่วยเดินหน่อยสิคะ" บางทีก็ไม่เคยดูเลยว่าสภาพในรถเป็นไง ประมาณว่าโดนตั้งโปรแกรมให้พูดยังไงก็พูดตาม
วันไหนโชคดีขึ้นได้จะไปถึงออฟฟิศในสภาพหัวเหอเสื้อผ้ายับเยิน จนเพื่อนมันเคยทักว่าไปโดนข่มขื่นมาเหรอ! ?

สาย 113 (มีนบุรี-หัวลำโพง) รถสภาพโทรมชะมัด ประตูปิดไม่ได้ซักกะคัน ในชั่วโมงเร่งด่วนคนอัดแน่นยังกะปลากระป๋อง แถมไม่ชอบจอดรับคนขึ้นด้วย ขากลับจากหัวลำโพงแทนที่จะวิ่งเข้าพญาไท มันดันมุดเข้าซอยบ้าอะไรไม่รูไปโผล่เอาบรรทัดทอง คนที่รอขึ้นตรงสามย่านก็คอยไปเถอะ ชาตินึงกว่าจะโผล่มาทางพญาไทซักคัน

สาย 33 (ปทุมธานี-สนามหลวง) ที่จริงน่าจะเปลี่ยนเป็น นรก-อเวจี ดีกว่าเร็วสุดๆ เคยนั่งช่วง 6 โมง จากปากเกร็ดถีงสนามหลวง 25 นาที ตื่นไปเรียนไม่เคยนั่งหลับบนรถสายนี้เลย เพราะเคยมีคนนั่งหลับแล้วรถเข้าโค้งหน้าวัดสร้อยทอง ไม่รู้เจ้าที่แรงหรือเหตุอันใด ชายผู้นั้นได้กระเด็นตกจากเบาะมาอยู่ที่พื้นรถโดยไม่รู้ตัว แต่สามารถกลับขึ้นไปนั่งหลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เคยขึ้นสะพานแล้วลอยตัวอยู่ประมาณ 3 วินาที พอจกลงมากระจำข้างๆ ร้าวหมดทั้งแผ่นนึกว่ามอเตอร์ครอส เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ขอแนะนำ คนในรถนั่งมองหน้ากันแบบ ... สงสัยว่าจะมีชีวิตรอดมั้ยนี่?!

ปอ. 356 (ปากเกร็ด-รังสิต) ถ้าคิดจะทำหนังย้อนยุคสัก 30 ปี แนะนำให้ใช้ประกอบฉากได้ (เก่ามาก) ความเร็วไม่เกิน 40 กม. ขับไม่เกินเกียร์ 3 วิ่งจากปากเกร็ด-หลักสี่ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง แม้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน เวลาเย็นรับสาวโรงงานกลับบ้าน จะจอดรอกันหน้าโรงงาน เหมือนประหนึ่งเป็นอู่รถ แถมซ้อนกัน 3 คันอีกต่างหาก
จากสภาพรถไม่น่าเชื่อว่าจะไปถึง ม.ธรรมศาสตร์รังสิตได้ เคยเสียกลางทางคนขับบอกให้ช่วยเข็นหน่อย

สาย 57 (ตลิ่งชัน - คลองสาน) นื่องจากสายนี้ต้องผ่านสถานที่หลายแห่ง ซึ่งเป็นที่เก่ามีประวัติและเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่น เมื่อผ่านโพธิ์สามต้นคนขับจะถูกผีมอเตอร์วินเข้าสิง ซอกเล็กซอกน้อยพี่แกจะมุด เบียด ปาด แซงซ้ายขวาเป็นที่หวาดเสียว
ครั้นออกถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี จะถูกผีรถบรรทุกเมายาบ้าเข้าสิง แข่งกันไล่บี้ชนิดไม่กลัวอุบัติเหตุ จะจอดก็ตอนชนท้ายกับรถเก๋งหรือรถพัง และเคยไหมขึ้นไปนั่งบนรถแล้วมองเห็นล้อวิ่งอยู่เพราะใต้ท้องรถมันทะลุ!

ปอ. 545 (นนทบุรี - สำโรง) สายนี้สนับสนุนโดย The Mall เพราะวิ่งผ่าน The Mall ถึง 3 แห่ง คือ ตั้งแต่งามวงศ์วาน บางกะปิ แล้วก็รามคำแหง ส่วนสปอนเซอร์อีกรายคาดว่าจะเป็นเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ตอนนี้ผ่าน 2 เมเจอร์คือ เมเจอร์รามฯ กะรัชโยธิน แล้วก็อีกนิดนึงจะผ่านเมเจอร์เอกมัย โชคดีที่มาทะลุตรงพระโขนง

ปอ. 157 (ปอ.32 เดิม บางประกอก-หมอชิต) เราคิดว่าเป็นรถเมล์สายที่ผ่านหน้าโรงพยาบาลมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ทั้งศิริราช รามาฯ พระมงกุฎ ราชวิถี โรงพยาบาลเด็ก ศูนย์วิจัยมะเร็งโรคปอด เปาโล และอีกมากมาย

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สุดยอดคำถามที่ใช้ในการประกวดนางงาม

>>>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสอเมริกา ไม่ทราบว่าในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสอเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
> >> มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
> >> (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

>>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสสเปน ไม่ทราบว่าในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสสเปน : ไอ้นั่นของผู้ชายในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิง ที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
> >> มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
> >> (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

>>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่าในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉันเหมือนกับ ข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
> >> มิสฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่าน จากปากนึงสู่อีกปากนึง ต่อๆ กัน
> >> (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่น ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสอิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสอิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่าไอ้นั่นของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
> >> มิสอิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
>>>> (เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว )


> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสอินเดีย ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสอินเดีย : อืมมม ในประเทศของฉาน เราว่าไอ้นั่นของผู้ชายมันคล้ายกับ กรรมกร
>>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
>>> มิสอินเดีย : เพราะว่าพวกมันต้องทำงานหนัก ทั้งกลางวันและกลางคืนน่ะสิ
> >> (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! แปะๆ! แปะๆ!แปะๆ! แปะๆ!ติดต่อกันยาวนาน )

> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสมาเลเซีย ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสมาเลเซีย : อ้อ ในมาเลเซีย เราคิดว่าไอ้นั่นของผู้ชายเหมือน รถโปรตอน รถแห่งชาติ ของเรานี่แหละ
>>>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
> >> มิสมาเลเซีย : เพราะว่า แม้ว่ามันจะดูบึกบึน แต่ความจริงแล้ว มันอ่อนมากๆๆ
>>>> (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว )

> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสสิงค์โปร์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสสิงค์โปร์ : ในสิงค์โปร์เราเรียกไอ้นั่นของผู้ชายว่า พวก Kia-Su (พวกกลัวพลาด)
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
> >> มิสสิงค์โปร์ : เพราะพวกมันชอบที่จะพรวดพราดเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบออกมา 15 นาที ก่อนการแสดงจะจบทุกที (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! แปะๆ!แปะๆ! แปะๆ!แปะๆ! แปะๆ! ติดต่อกันยาวนาน )

> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ เติ้ง เสี่ยว ผิง
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?
> >> มิสไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำงานหนัก แต่ว่ามันก็ยังทำงานได้จนถึงอายุ 90 ปี (เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่าอย่างไร ?
> >> มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับ นักการเมือง
> >> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
> >> มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวัน ๆ งานการไม่ทำ ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา แล้วก็ถุยส์!!! ไปวัน ๆ เท่านั้น